อยากติด EV Charger ที่บ้านต้องทำยังไงดี?


อยากติด EV Charger ที่บ้านต้องทำยังไงดี?


ในยุคปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนวัตกรรมอย่างบ้านสมาร์ทโฮมหรือระบบบ้านอัจฉริยะและรถยนต์ระบบไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “EV Car” ซึ่งช่วยให้เราสามารถประหยัดทั้งพลังงาน ประหยัดทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายและยังได้รับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น เพราะทั้งระบบ Smart Home และรถยนต์ฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่มีการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับความคิดเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างสิ่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพร้อมกับช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน แถมยังตอบโจทย์เรื่องการรณรงค์ลดปัญหาสภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ทุกคนให้ความสนใจและพยายามช่วยกันแก้ปัญหาอีกด้วย โดยระบบบ้านสมาร์ทโฮมและรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่เพียงช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและช่วยให้สามารถประหยัดการใช้พลังงานได้เท่านั้น แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่มีแนวคิดใหม่ในการจัดการและควบคุมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ใครหลาย ๆ คนจึงหันมาสนใจที่จะทำบ้านให้เป็นแบบสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะและหันมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นด้วย แต่ด้วความที่ในปัจจุบันสถานีสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นยังมีไม่มากพอที่จะรองรับคนที่ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า หลาย ๆ คนจึงมีความคิดว่าการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ที่บ้านนั้นถือเป็นทางออกที่ดีและยังมีบทความอีกหลาย ๆ บทความที่บอกเอาไว้ว่าการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger เอาไว้ที่บ้านนั้นยังช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายแถมยังสะดวกสบายอีกด้วย ในบทความนี้ โครงการบ้านแสนสราญ-เชียงใหม่ เลยจะพาทุกท่านที่กำลังมีความคิดหรือกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) เอาไว้ที่บ้านไปดูกันว่าหากต้องการที่จะติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูในบทความกันต่อได้เลยค่ะ ขั้นตอนการเตรัยมตัวสำหรับคนที่ต้องการติดตั้งชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) เอาไว้ที่บ้าน 1. เช็คขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สำหรับบ้านหรือที่อยู่อาศัยทั่ว ๆ ไปมักจะมีการติดตั้งและใช้มิเตอร์ไฟฟ้าที่เป็นแบบSingle-Phase ขนาด 15 (45) A หรือ Single-Phase ขนาด 5 (15) A ซึ่งเป็นขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับการติดตั้งติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) เพราะหากมีการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟมากพร้อมกับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า อาจทำให้กำลังไฟไม่เพียงพอและมีโอกาสที่ทำให้ไฟตกได้ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการใช้กำลังไฟสูงสุดถึง 32 A ดังนั้น สำหรับผู้ที่สนใจที่จะติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ภายในบ้านก็ควรพิจารณาเรื่องการเพิ่มขนาดของมิเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยอาจเลือกใช้มิเตอร์ไฟฟ้าแบบ Single-Phase 30 (100) A หรือแบบ 3-Phase 15 (45) A เพื่อให้มิเตอร์มีความสามารถในการรองรับการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger และยังเป็นการป้องกันการใช้ไฟฟ้าในบ้านที่อาจมากจนเกินไปอีกด้วย 2. เช็คขนาดสายไฟหลักหรือสายไฟเมนรวมถึงเช็คตู้เมนไฟฟ้า การตรวจสอบขนาดสายไฟหลักหรือสายไฟเมนนั้นนับเป็นอีกขั้นตอนที่มีความสำคัญเมื่อต้องการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger เอาไว้ภายในบ้าน เพราะตามมาตรฐานแล้วขนาดของสายไฟเมนหรือสายไฟหลักสำหรับบ้านที่ต้องการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าควรจะมีขนาดอยู่ที่ 25 ตารางมิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งเป็นขนาดของสายทองแดงภายใน นอกจากนี้ ยังควรตรวจสอบ Main Circuit Breaker (MCB) หรือตู้เมนไฟฟ้าหรือตู้ควบคุมไฟฟ้าว่าสามารถรองรับการใช้งานไฟฟ้าได้ถึง 100 แอมป์หรือไม่ รวมไปถึงตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker อย่างน้อย 1 ช่องหรือไม่ เนื่องจากการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีช่องส่วนตัวแยกจากการใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่น ๆ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าในบ้านสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 3. ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว Residual Current Device (RCD) การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าในบ้านได้ เพราะเครื่องตัดไฟรั่ว RCD จะช่วยตรวจจับและตัดวงจรไฟฟ้าเมื่อมีการไหลของกระแสไฟฟ้าเข้า - ออกในวงจรไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสามเหตุที่เกิดจากการรั่วไหลของไฟฟ้าหรือมีการใช้งานกระแสไฟฟ้าที่ไม่ปกติ ซึ่งเครื่องตัดวงจรนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการไหม้หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากไฟฟ้าลัดวงจรได้ในอนาคต 4. เช็คหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าว่าเป็นแบบไหน เนื่องด้วยในปัจจุบันหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบรูปแบบของหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เลือกนั้นเข้ากันกับหัวชาร์จและมีความเหมาะสมกับรถของคุณ 5. เลือกจุดติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger ที่มีความเหมาะสม เมื่อต้องการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในบ้าน การเลือกจุดติดตั้งที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถใช้งานที่ชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ดังนั้น จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า EV Charger ได้รับการติดตั้งในพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีความเหมาะสมเพียงพอสำหรับการใช้งาน 6. ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger ข้อสุดท้ายที่สำคัญเป็นอย่างมากคืออย่าลืมปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง EV Charger เพื่อให้ได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดติดตั้งที่มีความเหมาะสมรวมไปถึงมีการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถใช้งานที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Charger ได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจมากยิ่งขึ้น ...